รายการคืนความสุขให้คนในชาติ วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2559

unnamed

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ
ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม 2559 เวลา 20.15 น.

 

สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน

วันนี้ มีความสำเร็จของนักกีฬาไทยอีก 2 คน ที่ทำให้คนไทยทั้งชาติ มีความสุข ภาคภูมิใจ และเป็นเครื่องยืนยันว่า “คนไทย ชาติไทย ไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร…และไม่มีอะไรที่คนไทยทำไม่ได้” คนแรกคือ “น้องณี” สุธิยา จิวเฉลิมมิตร นักยิงเป้าบินสาวไทย ที่ล่าสุดสหพันธ์กีฬายิงปืนนานาชาติ หรือ ISSF ได้จัดอันดับให้ขึ้นเป็นมือ 1 ของโลกอย่างเป็นทางการ ด้วยผลงานที่ผ่านมามากมายในระดับโลก ล่าสุดคว้ารางวัลชนะเลิศ ระดับโลก 2 รายการ ติดต่อกัน คือ แชมป์ ISSF World Cup 2016 นะครับ ที่บราซิล และที่ซานมาริโน เป็น 1 ใน 50 นักกีฬาไทย ที่ได้โควต้าเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิก เกมส์ครั้งที่ 31 ณ ประเทศบราซิลเดือนหน้านี้ คนที่ 2 ก็คือ “โปรช้าง” ธงชัย ใจดี แชมป์กอล์ฟ ยูโรเปี้ยน ทัวร์ รายการ โอเพ่น เดอ ฟร้องซ์ ปีที่ 100 เป็นอดีตทหารจากศูนย์การสงครามพิเศษ ทราบว่ารางวัลนี้ เป็นของขวัญวันเกิดให้ลูกชาย นับเป็น โปรกอล์ฟ ที่มีอายุมากที่สุดที่ชนะรายการนี้ ผมขอเป็นตัวแทนพี่น้องประชาชนชาวไทย ในการแสดงความยินดี ในความสำเร็จ ซึ่งต้องแลกมาด้วยความวิริยะ อุตสาหะ และทุ่มเท อย่างมากในการฝึกซ้อม

ผมขอยืนยันกับนักกีฬาของไทยทุกท่าน ตามที่ “น้องณี” ได้กล่าวไว้ว่า “ท่านไม่ได้เดินคนเดียว ท่านเป็นตัวแทนคนไทยทั้งประเทศ และทุกคนติดตามให้กำลังท่านเสมอ มาในทุกสนามการแข่งขัน” รวมทั้ง นักเรียน นักวิจัย ผู้แทนหรือทีมชาติไทย ที่ไปแข่งขันในรางวัลต่างๆ อีกหลายประเภทด้วยกัน อาทิเช่น ล่าสุด สสวท. ได้นำคณะผู้แทนนักเรียนไทยเดินทางไปแข่งขันคณิตศาสตร์ –วิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2559 ทั้ง 20 คน ใน 5 สาขาวิชา คือ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยาและคอมพิวเตอร์ ก็ขอให้ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เป็นทูตทางวิชาการไปด้วย ขอให้ประสบความสำเร็จ สมดังที่มุ่งมั่น ตั้งใจทุกคน ส่วนหนึ่งของความสำเร็จในระดับโลก ทั้งนักกีฬา นักเรียน นักวิจัย หากสังเกตให้ดีแล้ว ภาษาอังกฤษนั้นจะเป็นภาษาสากล ก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง ในการที่จะเข้าถึงแหล่งวิชาการ เพื่อนำมาพัฒนาตนเอง ให้อยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับผู้แข่งขันชาติอื่น ๆ ทั่วโลก เราจะสามารถสื่อสารกับคนได้ทั่วโลก ในกิจการของตน รัฐบาลจึงได้เห็นความสำคัญ และผลักดันหลายโครงการ เพื่อพัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ของชาติ ด้วยการปฏิรูปการศึกษาของไทย ในด้านการพัฒนาด้านภาษาอังกฤษนะครับ ก็เป็นหนึ่งในเรื่องเหล่านั้น ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ อาทิเช่น (1) Con-Next-E-D ซึ่งเป็นโครงการผู้นำเพื่อการพัฒนาการศึกษาที่ยั่งยืน ด้วยความร่วมมือตามแนวทางประชารัฐ ที่ภาคเอกชนเข้ามาเติมเต็มภาครัฐด้วย (2) แอพพลิเคชั่นภาษาอังกฤษในมือถือชื่อ Echo English และ (3) โครงการ “ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้” ของกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น

นอกจากนั้น รัฐบาลได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน Internet ทุกหมู่บ้าน ให้ทุกคนเข้าถึงองค์ความรู้ ในทุกสาขาวิชาชีพ จากแหล่งข้อมูลทางวิชาการทั่วโลก ที่มักจะเป็นภาษาอังกฤษด้วย ต่อไป “คนไทยต้องกินอาหารแบบบุฟเฟ่ต์” ไม่ให้ใครมาป้อนแบบเด็กๆ เหมือนที่ผ่านมา ต้องเลือกทานได้ เราไม่สามารถตอบสนองความต้องการของแต่ละคนได้ โดยไม่ยั่งยืน เราต้องดูความยั่งยืนให้เกิดขึ้นด้วย เพราะฉะนั้นก็ต้องสร้างกระบวน การเรียนรู้ให้มากขึ้น ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ เราต้องเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนรู้ตลอดชีวิต และทุกอย่างต้อง “ระเบิดจากข้างใน” คือตนเองนั้นต้องอยากรู้ อยากเรียนด้วย เราบังคับใครไม่ได้มากนักในเรื่องเหล่านี้ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของชาตินั้น ให้รองรับแนวทางการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน

เรามีนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมาก ที่ทุกภาคส่วน ทุกคน ต้องมีความเข้าใจที่ตรงกัน เราจะต้องทำอย่างไรให้ประเทศได้เดินหน้าไปสู่การเป็น “คนไทย 4.0” วันนี้ต้องยอมรับว่าเรามีหลายระดับด้วยกัน ไม่ว่าจะ 3.0, 2.0, 1.0 ก็มีคละเคล้ากันไป เราติดกับดักรายได้ปานกลางอยู่ใน ปัจจุบัน เราจะก้าวไปสู่ 4.0 ได้ทั้งหมด เราก็เอา 3.0 เป็น 4.0 ก่อน ในส่วนของ 1.0, 2.0 ต้องทำไปสู่ 3.0 แล้วก็นำไปสู่ 4.0 เพราะฉะนั้นระยะเวลา ใช้เวลาแตกต่างกัน รัฐบาลแยกแยะเพื่อจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น เหมือนกับเราตัดเสื้อตัวเดียว ไม่ได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นถือว่า คน เป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ในการขับเคลื่อนตามนโยบายดังกล่าว เราจะต้องมีนวัตกรรม มีขีดความสามารถในการแข่งขัน เศรษฐกิจประเทศจะต้องเข้มแข็ง ครบวงจร เราจะต้องมีมูลค่าสินค้าของ เราให้สูงขึ้น สร้างห่วงโซ่มูลค่า ทั้งต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน CLMVT อาทิเช่น

(1) ชาวนาชาวสวน เราจะทำนาตามมีตามเกิด คอยฟ้า คอยฝน หวังธรรมชาติอย่างเดียวเหมือนเมื่อ ก่อนไม่ได้แล้ว เราจะต้องเป็น “Smart Farmer” ต้องนำความรู้ หลักวิชาการ นำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาช่วยด้วย คือทำน้อยลง แต่ได้ผลผลิตมากขึ้น ใช้พื้นที่ให้น้อยลง ใช้น้ำให้น้อยลง แต่ผลผลิตต้องมากขึ้น ในส่วนภาครัฐก็ลงทุนฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่เรียกว่า “Agri Map” เป็นแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก ซึ่งจะประกอบไปด้วยข้อมูลด้านเกษตรกรรม ทั้งเรื่องน้ำ ดิน พืช ประมง การตลาด โลจิสติกส์ และข้อมูลประกอบอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น ขอบเขตการปกครอง การใช้ประโยชน์ที่ดิน ทะเบียนเกษตรกร เป็นต้นนะครับ ขอให้ช่วยกันนะครับ ร่วมมือกันในทุกเรื่องที่ผมกล่าวมา

เรื่องที่ 2 คือเรื่องแรงงาน แรงงานทุกคนต้องพัฒนาตนเองให้มีทักษะมากขึ้น เชี่ยวชาญในวิชาชีพมากขึ้น ใช้ความรู้สมัยใหม่ เพื่อรองรับกระแสความเปลี่ยนแปลง ของโลก ในยุคดิจิทัล โดยภาครัฐก็ดำเนินการบูรณาการ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงาน ตลอดจนหน่วยงานอื่น ๆ ร่วมกันจัดทำ“ฐานข้อมูลแรงงาน” เพื่อให้การผลิตแรงงาน สอดคล้องกับความต้องการตลาดแรงงาน อย่างแท้จริง ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ อาทิเช่น ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยจะต้องปฏิรูปการศึกษา ที่ให้ความสำคัญกับอาชีวศึกษาสร้างชาติมากขึ้น และหลักสูตรทวิภาคีศึกษา ที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาอาชีวะ ได้ฝึกงานจริงในสถานประกอบการอาจจะมีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย รวมทั้งการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงาน เพื่อรองรับกับอัตราค่าจ้าง ที่เหมาะสมกับความรู้ ทักษะ ฝีมือ และความสามารถของแต่ละบุคคลเป็นต้น

แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลจำเป็นต้องส่งเสริมสนับสนุนอุดมศึกษาด้วยนะ ครับ คงเน้นอาชีวะอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าสถาบันอุดมศึกษานั้น ต้องผลิตคนอีกหลายประเภทด้วยกัน เพื่อจะนำพาประเทศไปสู่ 4.0 เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมการทุกอย่าง ตั้งแต่แรงงาน ตั้งแต่ความรู้ การพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อจะนำเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยมากขึ้น เราก็ต้องมีรายได้ในการดูแลเกี่ยวกับเรื่องรัฐสวัสดิการมากขึ้นนะครับ แรงงานในวัยฉกรรจ์ก็ลดลงเราก็ต้องพัฒนาไปสู่การใช้นวัตกรรม ใช้เครื่องจักร เครื่องไม้เครื่องมือ ถ้าเราผลิตเองได้ก็ประหยัดลงได้มากนะครับ

เรื่องที่ 3 คือกรณีผู้ประกอบการ SME จะได้ไม่ต้องต่อสู้อุปสรรคด้วยตัวเองแต่เพียงลำพังอย่างเดียว ในการทำธุรกิจ ธุรกรรม ที่ผ่านมาอาจจะมีปัญหาอยู่บ้างนะ ครับ เราก็จะส่งเสริม ในเรื่องของการพัฒนา เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็น “Smart Enterprise หรือ Smart Star-up” นะครับ นอกจากนั้นจะมีผู้ประกอบ การรายใหญ่ ชั้นนำของประเทศ มาช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา ด้านความรู้และประสบการณ์ ในลักษณะ “พี่ช่วยน้อง เพื่อช่วยเพื่อน” แล้วภาครัฐก็มีนโยบายส่งเสริมอย่างครบวงจรด้วยนะครับ ทั้งในโครงสร้างพื้นฐานแห่งอ นาคต การคมนาคมขนส่ง อินเทอร์เน็ต Digital Economy e-Commerce และศูนย์บริการ OSS นะครับ กับบริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี จำกัด ให้มีการจับคู่ทางธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน มาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุน สร้างแรงจูงใจ รวมทั้งการอำนวยความสะดวก ในการประกอบธุรกิจและการลงทุนใน ประเทศ ได้มีการกำหนด 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ กระจายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ให้สอดคล้องกับ “ไมโครคลัสเตอร์” ในระดับจังหวัด เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งจากข้างในท้องถิ่น ชุมชนเองให้มีการทำ “แผนพัฒนาเศรษฐกิจจังหวัด 4.0” ผ่านกลไกประชารัฐเชิงพื้นที่ มีผู้ว่าราชการจังหวัด หอการค้า สภาอุตสาหกรรม ผู้แทนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เข้าร่วมด้วย ทั้งหมดนั้นจะช่วยให้ “ความมั่งคั่งนั้นไม่กระจุกตัวในเมืองหลวง หรือเมืองใหญ่ ๆ ความเจริญก็จะกระจายสู่ท้องถิ่น” เรากำลังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน ทุกคนช่วยกันร่วมมือ อดทน แก้ไขปรับปรุงด้วย กุญแจสู่ความสำเร็จในการสร้าง “คนไทย 4.0” เพื่อรองรับนโยบาย “ไทยแลนด์ 4.0” นั้น

รัฐบาล ต้องอาศัยความร่วมมือ จากทั้งภาคเอกชนและภาคการเงิน โดยเฉพาะสถาบันการศึกษา ในแต่ละภูมิภาค ทุกประเภท จะต้องเข้ามาสนับสนุนด้านการศึกษา วิจัย และพัฒนา ในแต่ละกลุ่มเทคโนโลยีอุตสา หกรรมเป้าหมายตัวอย่างเช่น (1) อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรม ได้แก่ ม.เกษตรศาสตร์ + ม.สงขลาฯ + ม.ขอนแก่น + ม.เชียงใหม่ และ ม.บูรพา (2) กลุ่มอุตสาหกรรมสุขภาพและชีวภาพ ได้แก่ ม.มหิดล + ม.เชียงใหม่ + ม.ขอนแก่น และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ (3) กลุ่มอุตสาหกรรมอุปกรณ์อัตโนมัติ อัจฉริยะ ดิจิทัล และหุ่นยนต์ ได้แก่ ม.สุรนารี + ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี+ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุน ครั้งที่ 2 ประจำปี2559 ได้รับรายงานว่า มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน ในช่วง 5 เดือนแรก ปี 2559 จำนวน 504 โครงการ เพิ่มขึ้น 80% คิดเป็นมูลค่าเกือบ 230,000 ล้านบาท ถือว่าเพิ่มขึ้น 410% เมื่อเทียบกับห้วงเดียวกัน ในปีที่ผ่านมา โดยร้อยละ 40 เป็นการลงทุนใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งหากเป็นเช่นนี้มีการลงทุนตามคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนดังกล่าว จากทั้งบริษัทของไทยและจากต่างประเทศ ก็จะสามารถสร้างงานให้กับคน ไทยได้ 48,000 ตำแหน่ง มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ 219,000 ล้านบาท/ปี และใน 2 – 3 ปีข้างหน้า ก็จะเกิดมูลค่า จากการส่งออกผลิตภัณฑ์เหล่านั้น เป็นรายได้ให้ประเทศ ราว 268,000 ล้านบาท/ปี ซึ่งผมเห็นว่าโอกาสในการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนไทย ยังมีอีกมาก เราต้องเตรียมความพร้อมตัวเองนะครับในการที่จะเป็น “คนไทย 4.0” อย่างไรก็ตามต้องดูแลคนอื่นๆ ด้วยนะครับ ที่อาจจะช้ากว่าเราหรืออาจจะกำลังพัฒนาอยู่ ต้องช่วยกันทั้งหมด ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว

ปัจจุบันเรื่องการวิจัยและพัฒนา รัฐบาลกำลังทำยุทธศาสตร์การวิจัยและพัฒนาในระยะยาว จะต้องร่วมมือกันทั้งสถาบันของรัฐ ของเอกชน ของสถาบันการศึกษานะครับ ให้เป็นระบบ ครบวงจร ตรงความต้องการ ในเรื่องของการวิจัย ขณะเดียวกันต้องนำสู่การผลิต จับคู่การผลิตให้ได้ อะไรที่จะให้ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่รับไป ขนาดกลาง ขนาดเล็ก รับไป เราก็ต้องมีมาตรการสร้างแรงจูงใจให้เขาด้วย แล้วก็มีรายได้ให้กับนักวิจัย เพื่อจะได้มีกำลังใจต่อไปในอนาคต เราได้ร่างกติกาเหล่านี้ไว้ทั้งหมดแล้วนะครับ ก็อยู่ที่การปฏิบัติ เมื่อมีการลงทุนเกิดขึ้นจริงใน อนาคตนะครับ เราจะต้องเพิ่มขีดความสามารถ เพิ่มมูลค่าสินค้าต่างๆ ที่มีราคาต่ำลงในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุตสาหกรรมที่เกิดจากการเกษตร เราต้องเพิ่มให้มีรายได้สูงขึ้น แล้วก็อีกเรื่องก็คือเรื่องอุตสาหกรรมที่เป็นเป้าหมาย เราต้องเร่งดำเนินการให้เร็วที่สุด ที่ผ่านมานั้นในช่วงยุค “ไทยแลนด์ 3.0” ซึ่งเรากำลังติดอยู่ตรงนี้ อุตสาหกรรมและวิสาหกิจของไทยนั้น จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และก็ไม่ตอบโจทย์ประเทศ ไม่ตรงตามความต้องการในปัจจุบัน จึงถือว่าเป็นเศรษฐกิจระบบ “รากแขนง” ไม่มีความมั่นคง ไม่ยั่งยืน ไม่ต่อยอด

วันนี้ ในการก้าวเข้าสู่ “ไทยแลนด์ 4.0” เราต้องการเศรษฐกิจระบบ “รากแก้ว” ซึ่งเราต้องพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม เพิ่มผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ให้มากขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการ SME + Start-up ได้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยใช้นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของเราเอง หรือเป็นการสร้าง “ห่วงโซ่มูลค่า” ในประเทศ ก่อนที่จะเชื่อมโยงเป็น “เครือข่ายระดับภูมิภาค หรือโลก ในอนาคต บนโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์และ ICT ที่รัฐกำลังเร่งรัดให้เกิดขึ้นในขณะนี้ ตัวอย่างเช่น การนำผลงานวิจัยเกี่ยวกับ “ข้าวไทย” ที่มีอยู่มากมาย แต่อาจจะไม่เคยนำไปสู่การผลิตอย่างแท้จริง ไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในภาคอุตสาหกรรมอย่างจริงจัง ทั้งนี้ในการประชุมที่ผ่านมาของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ครั้งที่ 3/2559ก็ได้มีข้อเสนอให้ผมจัดตั้ง“สถาบันการพาณิชย์ข้าว” ก็ได้มีการหารือนะครับ แล้วก็ยกระดับในเรื่องของ การอำนวยความสะดวก งานวิจัยข้าว ไปสู่อุตสาหกรรม รวมทั้งเป็นการวิจัย การเจาะตลาดนวัตกรรมข้าว ก็จะเป็นที่ทำงานร่วมกันนะครับ ระหว่างผู้มีประสบการณ์ ด้านนวัตกรรม ด้านการตลาด และธุรกิจ ในเชิงช่วยวิเคราะห์ตลาด กำหนดโจทย์ในการวิจัย สร้างเครือข่ายทางธุรกิจและวิชาการ ตลอดจนขับเคลื่อนให้มีผลิตภัณฑ์นวัตกรรมจากข้าวออกสู่ตลาด ทั้งในและนอกประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ตัวอย่าง อีกอันหนึ่งก็คือ การสร้างมูลค่าเพิ่มจาก “รำข้าว” ประมาณ 0.6 ล้านตัน คิดเป็นเพียง 20% จากผลผลิตข้าว 27 ล้านตัน/ปี เราจะต้องนำมาแปรรูป ผลิตเป็นน้ำมันรำข้าว + เครื่องสำอางค์ + อาหารเพื่อสุขภาพ + สารเคลือบผลไม้ เราก็จะสามารถเพิ่มมูลค่ารำข้าวจากเดิมที่มีมูลค่า เพียง 6,000 ล้านบาท เป็น 26,000 ล้านบาท (หรือมากกว่า 4 เท่า) เป็นต้น ทั้งนี้ ผมเห็นว่ามีประโยชน์มาก ก็ได้สั่งการเพิ่มเติมในที่ประชุมไปแล้วว่า ให้ขยายขอบเขตไปสู่พืชผล การเกษตรประเภทอื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะ 5 พืชเศรษฐกิจหลักของไทย ได้แก่ ข้าว + มันสำปะหลัง + อ้อย + ข้าวโพด และยางพารา โดยเฉพาะมาตรการแก้ปัญหาราคายางพาราที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการจับคู่ธุรกิจผลิตภัณฑ์ยาง กับ 147 บริษัท จาก 28 ประเทศ จะสามารถสร้างมูลค่าได้กว่า 20,000 ล้านบาท แต่ก็คงเป็นมาตรการส่งเสริมระยะ สั้นนะครับ ในระยะยาว ก็จะมีสถาบัน – หน่วยงาน ในลักษณะตามที่ นบข. เสนอมา มาดูแลอย่างต่อเนื่อง ครบวงจร มันก็จะสร้างความยั่งยืนให้กับเกษตรกรของไทยได้

ปัญหาที่สำคัญในเรื่องนี้ เรื่องการเกษตรเหล่านี้ก็คือเรื่องความสมดุล ดีมานด์ ซัพพลาย วันนี้เรายังลดพื้นที่บางอย่างไม่ได้ พืชบางอย่างปลูกมากเกินไป ราคาตก ถ้าเราลดพื้นที่ไม่ได้ ก็ต้องลดพื้นที่ลง โดยการเอามาทำเป็นมูลค่าเพิ่มเพื่อชดเชยอนาคตเพราะเราจะต้องลด พื้นที่เหล่านั้นลงไปให้ได้ ไม่งั้นเกษตรกรก็แย่ลงทุกวัน วันนี้ก็สงสารเค้า น่าเห็นใจเค้า สำหรับ“การทำเกษตรแปลงใหญ่” ตามนโยบายรัฐบาล นะครับ ขอให้ติดตามความก้าวหน้าในการประชาสัมพันธ์ด้วย เป็นมาตรการที่มุ่งเน้นให้มีการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันมีการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและมีการปฏิรูปภาคการเกษตรอย่างยั่งยืน ด้วยกลไก “ประชารัฐ” ได้มีการนำนวัตกรรม เทคโนโลยี เครื่องจักร เครื่องมือ นะครับและนำงานวิจัยและพัฒนาต่างๆ รวมทั้งการบริหารจัดการของภาคเอกชน ซึ่งเป็น“การพัฒนาเกษตรสมัยใหม่” มาช่วยในการพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 580 แปลง บนพื้นที่ 1.34 ล้านไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 85,000 ครัวเรือน ใน 31 รายการสินค้า เช่น ข้าว พืชไร่ ผัก สมุนไพร ไม้ผล ไม้ยืนต้น กล้วยไม้ ปศุสัตว์ ประมง และหม่อนไหม เป็นต้น ผลการดำเนินการเกษตรแปลงใหญ่ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในห้วงปี 2558 – 2559 พืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ สรุปได้ดังนี้ (1) ข้าว จำนวน 393 แปลงใหญ่ พื้นที่ 8.3 แสนไร่ ลดต้นทุน 19% เพิ่มผลผลิต 13% (2) ปาล์มน้ำมัน จำนวน 15 แปลงใหญ่ พื้นที่ 2.7 แสนไร่ ลดต้นทุน 15% เพิ่มผลผลิต 19% (3) มันสำปะหลัง จำนวน 34 แปลงใหญ่ พื้นที่ 6.6หมื่นไร่ ลดต้นทุน 25% เพิ่มผลผลิต 30% และ (4) อ้อย จำนวน 10 แปลงใหญ่ พื้นที่ 1.1 หมื่นไร่ ลดต้นทุน 20% เพิ่มผลผลิตได้ 25% ทั้งนี้ ข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็น “ค่าเฉลี่ย” สำหรับการดำเนินการในห้วงแรก โดยเป้าหมายระยะต่อไป ก็คือจะต้อง “ลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิต อย่างน้อย 20% ต่อแปลง”สำหรับพืชทุกประเภท

สำหรับตัวอย่างที่ให้เห็นได้ในวันนี้ก็คือในพื้นที่การ “ปลูกข้าวแปลงใหญ่” ที่ ต.ผักไหม อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ นับว่าประสบความสำเร็จ ในการทำเกษตรสมัยใหม่แบบแปลงใหญ่แห่งหนึ่ง ตามแนวทางประชารัฐ บนพื้นที่ 3,780 ไร่ มีสมาชิก 297 ราย บริหารงานโดยศูนย์ส่งเสริมและผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวชุมชน ซึ่งเป็นวิสาหกิจชุนชน สภาพพื้นที่ทำนาอยู่ในเขตที่มีความ เหมาะสมทั้งปานกลางและน้อย เราสามารถลดต้นทุนการผลิตจาก 4,620 เหลือ 3,285 บาท/ไร่ หรือลดลงได้ถึง 29% และเพิ่มผลผลิตข้าวจาก 400 เป็น 500 กก./ไร่ หรือเพิ่มขึ้นได้ 25% ก็อยากให้เป็นแบบอย่าง อาจจะมีหลายพื้นที่ที่ไม่ได้กล่าวถึง ขอบคุณด้วยที่ร่วมมือ เราจะได้ช่วยได้ตรงจุด กระทรวงมหาดไทยได้มีการรายงานความคืบหน้า ผลการดำเนินการตามนโยบายการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรดังนี้ เรื่องสำคัญคือ

เรื่อง ที่หนึ่ง การควบคุมข้าวชาวนา มีจำนวนผู้เช่านาราว 360,000 ราย มีผู้ให้เช่า 340,000 ราย พื้นที่ที่มีการเช่านาทั้งหมด 9,600,000 ไร่ เราสามารถเจรจาลดค่าเช่านา ให้แก่ผู้เช่าได้จำนวน 120,000 กว่าราย คิดเป็นพื้นที่เช่านา 2.2 ล้านไร่ คิดเป็นมูลค่ากว่า 48 ล้านบาท สำหรับในพื้นที่ประสบภัยธรรมชาติ ได้เจรจาลด งดเก็บค่าเช่านาให้แก่ผู้เช่า ได้จำนวน 581 ราย เป็นพื้นที่เช่านา 7,363 ไร่ จำนวนเงินที่ลดค่าเช่าที่นาลงได้กว่า 1,100,000 บาท จำนวนเงินที่งดค่าเช่านาลงได้กว่า 1 ล้าน 1 แสนบาท สำหรับจำนวนเงินที่งดเก็บค่าเช่านากว่า 2 ล้าน 6 แสนบาท

เรื่องที่2 การแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกร ได้เปิดศูนย์ดำรงธรรมอำเภอ จากจังหวัดเป็นอำเภอต่อไป ให้ชาวนา เกษตรกรที่นำที่ดินไปจำนองนอกระบบมาเจรจากับเจ้าหนี้ โดยมีปลัดอำเภอและคณะกรรมการช่วยกันเจรจา มีจำนวนทั้งสิ้นกว่า 1 ล้าน 6 แสนราย ได้แบ่งเป็น 2 กรณี คือ 1.หนี้สินที่เดือดร้อนเร่งด่วนที่มีคำพิพากษาให้บังคับคดีแล้ว 2.หนี้นอกระบบที่ยังไม่มีการฟ้องร้องหรือบังคับคดี กำลังแก้ไขปัญหานี้อย่างเป็นระบบอยู่ในขณะนี้ กรณีประเด็นทางสังคมที่อยากให้ทุกคนทำความเข้าใจบ้านเมืองกำลังก้าวเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นเราต้องรักษาความสงบเรียบร้อยให้มากที่สุดสำหรับประเทศไทยในการที่จะเดินไปข้างหน้า แล้วก็ไปสู่การค้าการลงทุน เพราะว่ามันจะต้องเกิดตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงอนาคต เมื่อเรามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง

เพราะฉะนั้นความร่วมมือที่เราอยากจะขอทุกท่านก็คือ 1. เรื่องของการตั้งศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย อันนี้ก็จริง ๆ แล้วมีอยู่แล้ว ส่วนราชการมันก็มีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นที่ตั้งขึ้นมาใหม่ไม่ใช่เพื่อไปตั้งเอาคนอะไรมาเยอะแยะไม่ใช่ แต่เป็นการตั้งกลไกในการบูรณาการแสวงหาความร่วมมือ 3 ฝ่ายให้ได้ อันแรกก็ได้แก่รัฐบาลหน้าที่โดยตรงเป็นของกระทรวงมหาดไทย  อันที่ 2 เป็นหน้าที่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ซึ่งทั้ง 3 ฝ่ายนี้ต้องบูรณาการร่วมกันให้ได้ เพื่อจะดูแลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปอย่างเรียบร้อย มีความปลอดภัย ประชาชนมีความสุขและเป็นไปตามที่ทุกคนต้องการ เป็นมาตรการในเชิงป้องกันที่จะให้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายได้และปฏิบัติตามหน้าที่ของตนอย่างเคร่งคัดและสุจริต ทั้ง พรบ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พรบ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 2559 และ พรบ. การชุมนุมสาธารณะ 2558 ซึ่งจะมีการกำหนดความรับผิดชอบ และขั้นตอนการปฏิบัติ ของแต่ละหน่วยงานชัดเจนอยู่แล้ว โดยเจ้าหน้าที่ทหารของ คสช. จะดูแลความสงบเรียบร้อยทั่วไป จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ หรือเข้าไปชี้นำ หรืออะไรต่างๆก็แล้วแต่ที่ทุกคนหรืออีกฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ตามที่หวาดระแวงอยู่ในการทำประชามติ เพราะว่าในเขตของการลงคะแนนนั้น เป็นพื้นที่ที่มีเจ้าหน้าที่ กกต. อาสาสมัครของ กกต. รับผิดชอบอยู่แล้วเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา เราเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว ทั้งหมดนั้นจะมีหน้าที่การนำข้อมูลการกระทำความผิดตามกฎหมาย ตาม พรบ. ตามคำสั่ง คสช. ส่งให้กระบวนการยุติธรรมพิจารณา ผมไม่อยากให้เกิดภาพความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้นอีกเหมือนอย่างการเลือกตั้งในอดีตจน การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ประชาชนบาดเจ็บล้มตาย สิ้นเปลื้องงบประมาณ เจ้าหน้าที่ถูกลงโทษ แล้วใครจะรับผิดชอบบ้าง วันนี้ผมก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่าง เราละเว้นอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการเดินหน้าและปฏิรูปประเทศตาม Road map และถ้าหากว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง ก็ต้องดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรม อย่าไปหลงเชื่อคำบิดเบือน ผมไม่บังคับใครอยู่แล้ว เพียงแต่เราขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ ขอให้ทุกภาคส่วนร่วมกันเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ ป้องกัน ระงับ ยับยั้งเหตุที่จะนำไปสู่การไม่สงบเรียบร้อย รวมทั้งปัญหาที่อาจจะเกิดจากการชุมนุมสาธารณะ ที่บานปลายไร้การควบคุม เคยเกิดขึ้นมาในอดีตมากมายเรื่องเหล่านี้อย่าให้มันเกิดขึ้นอีก ผมก็ไม่ต้องไปเดือดร้อนในการบังคับใช้กฎหมาย

ในเรื่องที่ 2 เรื่องที่สำคัญก็คือ การบังคับใช้กฎหมาย ในการจัดระเบียบสังคมและบ้านเมือง อันนี้เราใช้คำสั่ง คสช. มีกฎหมายทุกฉบับอยู่แล้วเพียงแต่ว่าทำให้เกิดความรวดเร็วขึ้น ทั้งนี้ก็ขอให้เจ้าหน้าที่รัฐอธิบาย ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนถึงเหตุผลและความจำเป็น ว่าเหตุใดเราต้องดำเนินการ เข้าไปจัดระเบียบสังคม จัดระเบียบทางเท้า จัดระเบียบมอเตอร์ไซค์รับจ้าง ตรวจค้นสถานประกอบการ ตรวจตลาด ทั้งนี้ ต้องอธิบายให้เข้าใจว่า ประโยชน์ที่จะเกิดและประชาชนจะได้รับในระยะยาว เป็นอย่างไร ทั่วถึงเป็นธรรมเป็นอย่างไร ไม่ใช่ก้มหน้าก้มตาจัดระเบียบอ ย่างเดียว ใครเดือดร้อน ใครมีปัญหาอะไรก็ไม่ฟัง ไม่พูดไม่ชี้แจ้ง ประชาชนถามก็ตอบเหมือนเดิม คสช. สั่งมา ไม่พอใจก็ไปต่อว่า คสช.เอาเอง เดี๋ยววันหน้าก็กลับมาใหม่ ผมว่าคำพูดนี้เป็นคำพูดที่ไม่เหมาะสม ผมไม่ได้เกรงกลัวว่าใครจะมาต่อว่า คสช. ผมอดทนอยู่แล้วล่ะ แต่ผมสงสารประชาชน พ่อค้า แม่ค้า ที่เดือดร้อนจากการปล่อยปละละเลยในช่วงที่ผ่านมา ผมอยากให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันด้วยความเข้าใจ ปลูกฝังคนไทยให้พูดจากันด้วยเหตุด้วยผล เป็นสังคมที่ใช้ความคิด ใช้ปัญญา ทำอะไรก็ต้องมีเหตุมีผล มีที่มาที่ไป มีเป้าหมายที่ชัดเจนไม่ใช่แค่ทำให้เสร็จแล้วก็จบข่าว แถลงข่าวแล้วจบแบบนี้ไม่ได้ จะแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้วก็กลับมาที่เดิม เราก็ต้องได้ทั้งงาน ได้ทั้งความสำเร็จ ได้ทั้งความเข้าใจของพี่น้องประชาชน ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ฝากไว้อีกครั้ง เจ้าหน้าที่รัฐทุกท่าน ทุกส่วนทุกกระทรวง ที่มีหน้าที่ต้องดำเนินการใกล้พี่น้องประชาชนขอให้ทำในทุกกรณี ส่วนใหญ่ปัญหาจะเกิดขึ้นจากกรณีการบังคับใช้กฎหมายจากเจ้าหน้าที่คนเดิมหรือหน่วยเดิม ๆ ไปดำเนินการ ซึ่งประชาชนอาจจะไม่ไว้เนื้อเชื่อใจ หรือไม่ไว้วางใจ หากพื้นที่ใดที่มีปัญหาหมักหมมยาวนาน ก็ควรใช้เจ้าหน้าที่จากส่วนกลาง คนละคน คนละชุด นอกพื้นที่ลงไปแก้ปัญหา แล้วก็ช่วยกันดูแลเฝ้าระวังอย่าให้เกิดขึ้นอีก ก็ระวังการทุจริตด้วยจะถูกลงโทษสถานหนัก จะเห็นได้ว่ามีการสอบสวนมากมายในขณะนี้ ผมไม่อยากจะไปรังแกข้าราชการอยู่แล้ว

เมื่อวานนี้ผมได้พบ นายมณเฑียร บุญตัน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่งคณะกรรมการประจำอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ วาระปี 2556-2563 เป็นวงรอบที่ 2 แล้ว ผมก็ได้แสดงความยินดีกับเขา ให้กำลังใจในการทำงาน พร้อมกับรับฟังข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ สิ่งใดที่เราทำได้กับคนพิการก็จะทำให้ทันที สิ่งใดที่ยังทำไม่ได้ต้องใช้งบประมาณสูง ใช้ระยะเวลามาก ก็ต้องพิจารณาให้เกิดความรอบครอบตามแผนงานจัดลำคับความเร่งด่วนในการใช้จ่ายงบประมาณ มีระยะสั้น กลาง ยาว เพราะว่าเราก็ต้องใช้งบประมาณอย่างคุ้มค่าและหลาย ๆ ส่วนด้วยกัน ไม่ใช่แค่เรื่องใดเรื่องหนึ่งทุ่มลงไปหมดไม่ได้เพราะเราต้องดูแลคน 67 ล้านคน เกือบ 70 ล้านคนวันนี้ หลาย ๆ อย่างก็ต้องใช้เงินมาก เพราะว่าที่ผ่านมาอาจจะทำได้ไม่มากนัก เราก็ต้องทำให้มันสอดคล้องกับ Road Map ของเราด้วยและเตรียมการส่งมอบอะไรต่างๆก็แล้วแต่

สุดท้ายนี้จากการที่ผมได้สั่งการให้มีการปรับผังรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT เขาก็ได้ทำมาอย่างต่อเนื่อง ให้นโยบายไปว่าขอให้เป็นสถานีโทรทัศน์เพื่อประเทศไทย ให้ทำรายการดีๆเพื่อพี่น้องประชาชน ทำอย่างไรให้น่าดูหน้าติดตาม ให้คนเปิดแล้วสนใจ ไม่เปลี่ยนช่อง ผมไม่บังคับใครดูตลอดอยู่แล้ว ช่วงไหนอยากดูละครดูบันเทิงก็ไปดูได้ แต่ช่วงไหนเป็นสิ่งสำคัญก็กลับมาดูบ้าง ไม่เช่นนั้นหากันไม่เจอ แล้วเราก็ไม่สามารถไปที่ช่องอื่นได้มากนัก เรื่องที่มันเป็นเรื่องของทางราชการ รวมทั้งการประกอบการทางธุรกิจด้วย ในวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคมนี้ จะเป็นวัน ครบรอบ 28 ปี NBT มีหลายรายการใหม่ผมเห็นว่าน่าสน ใจ เช่น รายการขันเป็นข่าวของโฆษกรัฐบาล ซึ่งจะเปิดตัววันแรกในวันที่ 10 กรกฎาคม ในเวลา 3 ทุ่ม ก็ขอให้ลองติดตามชมทางช่อง 11 (NBT) จะเป็นรายการที่ให้โฆษกรัฐบาลลงไปพบปะพี่น้องประชาชนตามถนนหนทาง ร้านค้าตรอกซอกซอย มีคำถามอะไรฝากถามรัฐบาล มีอะไรอยากรู้ก็ถามโฆษกไก่อูที่ลงไปทำรายการนี้ อยากถามอะไรรัฐบาลก็ฝากถามมาได้ ตอบทุกเรื่องที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน เรื่องไม่เป็นเรื่องไม่เป็นประโยชน์ก็ไม่ต้องตอบ ก็คงต้องอาศัยระยะเวลา งบประมาณในการดำเนินการแก้ปัญหาทั้งหมด 1 2 3

วาระสำคัญก็คือ ประชาชนต้องให้ความสนใจด้วย อันนี้สำคัญ อย่างที่ผมกล่าวไปแล้ว ถ้าดูบันเทิงอย่างเดียวความรู้ก็ไม่ได้ ถ้าดู 2 อย่างพร้อมกัน มันก็ไม่ได้อีก ต้องจัดสรรเวลาของตัวเองให้ดี ถ้าฟังแล้วดูแล้วมันก็จะเป็นประโยชน์ แต่ถ้าเราปรับรายการไปแล้วไม่มีคน ดูมันก็เหมือนเดิม ไม่ว่ารัฐบาลจะทำอะไรก็ตาม ท่านก็ไม่รู้ไม่ทราบ แล้วก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไร ไม่มีช่องทางเข้าหา กองทุนอะไรต่าง ๆ มีหมดอยู่แล้ว ใครเข้ามาเขาก็ได้ ใครปรับปรุงเปลี่ยนแปลง เขาก็ได้ เว้นแต่ว่าคนไม่สนใจเองก็ยังมีอยู่ แต่ผมไม่โทษท่าน ที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้มาตลอด วันนี้ผมก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ แก้ไปแล้วกัน แต่อยากให้แก้เร็วขึ้น ประชาชนต้องสนใจ จะได้เป็นประโยชน์กับตนเอง ครอบครัว มีอาชีพมีรายได้เพิ่มเติมมากขึ้น ทั้งในปัจจุบันและในอนาคตด้วย ขอบคุณครับ สวัสดีครับ ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์ สวัสดีครับ

 

ที่มา www.thaigov.go.th