ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน 2 ธันวาคม 2559

ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ” ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม 2559 เวลา 20.15 น.
สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องชาวไทยที่รักทุกท่าน
กว่า 7 ศตวรรษ ที่ประเทศไทยมีเสถียรภาพและความมั่นคง ด้วยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นหลักชัย กว่า 7 ทศวรรษ ที่คนไทยมีแต่ความสงบสุข ร่มเย็น ภายใต้พระบรมโพธิสมภาร แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลา ธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามมินทราธิราช บรมนาถบพิตร ผู้ทรงครองแผ่นดิน โดยทรงตั้งมั่นใน “ทศพิธราชธรรม” เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม อย่างแท้จริง ตามที่พระองค์ ทรงตั้งพระราชสัตยาธิษฐานไว้ตลอดรัชสมัยของพระองค์ บัดนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งทรงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัย จากสมเด็จพระบรมชนกนาถ โปรดเกล้าฯ สถาปนา และทรงสถิตอยู่ในพระราชสถานะ องค์พระรัชทายาท มากว่า 44 ปี ทรงพระกรุณา “รับ” คำกราบบังคมทูล อัญเชิญขึ้นทรงราชย์ เป็น “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” พระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 10 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เพื่อทรงสืบสานพระบรมราชปณิธาน และทรงเจริญรอยตามพระยุคลบาท ในการสานต่อ “ศาสตร์พระราชา” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ยังคงอยู่ คู่แผ่นดินไทย สืบไป ขอให้เราทุกคน จงร่วมกันตั้งจิตอธิษฐาน ขอพระบรมเดชานุภาพ แห่งองค์พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้โปรดอภิบาลรักษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ให้ทรงพระเจริญ สถิตเป็นมิ่งขวัญ ปกเกล้าปกกระหม่อม อาณาประชาราษฎรชาวไทย รวมทั้งให้ทรงพัฒนาประเทศไทย ภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขจนประสบความสำเร็จ บังเกิดความเจริญรุ่งเรือง มีสันติสุข และความสามัคคีปรองดอง สมดังพระราชปณิธานปรารถนาตราบกาล นานเทอญ
พี่น้องประชาชนชาวไทยทุกท่าน ครับ
หลายปีที่ผ่านมา โครงการในพระราชานุเคราะห์ และโครงการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีมากมายหลายโครงการ ซึ่งนอกจากจะทรงเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว ยังเป็นการน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” แห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ไปขยายผลที่ล้วนเป็นคุณประโยชน์ อย่างอเนกอนันต์ ต่อพสกนิกร ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศ อาทิ “โครงการคลินิกเกษตรเคลื่อนที่” ซึ่งได้รับพระราชทาน พระราชาอนุญาต อัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ไว้ในเครื่องหมายตราสัญลักษณ์โครงการ เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับการใช้เทคโนโลยีการเกษตร หรือนวัตกรรมที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มผลผลิต และสร้างแรงจูงใจ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการเกษตร ด้วยการสร้างความเชื่อมโยง ระหว่างองค์กรวิจัยและพัฒนาภาคการเกษตร กับกลุ่มเกษตรกรเป้าหมายในการให้คำปรึกษา ด้วยความรู้และบริการทางวิชาการใหม่ ๆ การตรวจวิเคราะห์และวินิจฉัย รวมทั้ง การให้บริการด้วยอุปกรณ์และเครื่องมือทางห้องปฏิบัติการที่มุ่งเน้นการเข้าถึงเกษตรกรโดยตรง นับว่าสามารถตอบสนอง ทั้งความต้องการ และทันต่อเหตุการณ์ด้วย ทั้งนี้ มีกิจกรรมที่สำคัญ ได้แก่ 1. คลินิกพืช ช่วยแก้ปัญหาโรคและแมลงศัตรูพืช วัชพืช สารพิษตกค้าง การขาดธาตุอาหารพืช และวัตถุมีพิษทางการเกษตร 2. คลินิกดิน ช่วยวิเคราะห์และตรวจสอบ ดินและปุ๋ย 3. คลินิกสัตว์ ช่วยแก้ปัญหาโรคสัตว์ ด้วยการตรวจรักษาพยาบาล ควบคุมบำบัด และให้ฉีดวัคซีนแก่ปศุสัตว์ 4. คลินิกประมง เผยแพร่องค์ความรู้ในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ รวมทั้งการแก้ปัญหาโรคสัตว์น้ำ และการปรับปรุงคุณภาพน้ำ 5. คลินิกบัญชี ให้คำแนะนำและส่งเสริมการจัดทำบัญชีฟาร์ม เพื่อการบริหารจัดการที่ดี 6. คลินิกชลประทาน ให้ความรู้และหลักวิชาการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ 7. คลินิกสหกรณ์ ที่มุ่งสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มเกษตรกร ในการรวมกันเป็นสหกรณ์ และ 8. คลินิกกฎหมาย ที่ดำเนินงานด้านกฎหมายที่ดิน เป็นต้น
นอกจากนี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบัน ได้เคยพระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ ในพื้นที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 1,350 ไร่ ให้กับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อดำเนินการในลักษณะ “คลินิกเกษตร”เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัยและเทคโนโลยีการเกษตรจากศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 โดยแบ่งพื้นที่ ร้อยละ 70 เป็นพื้นที่ป่าไม้ สำหรับพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยววนเกษตร ในลักษณะเส้นทางเดินป่า สำหรับการศึกษาธรรมชาติ และพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ที่เหลือ เป็นที่ตั้งศูนย์เรียนรู้ พื้นที่ทรงงาน และแปลงสาธิต เพื่อการพัฒนาการเกษตร แบบครบวงจร ประกอบด้วย การจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำ การฟื้นฟูปรับปรุงดิน การพัฒนาแหล่งน้ำ และการส่งเสริมอาชีพ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่วนเกษตร และธนาคารอาหารชุมชน โดย มีการพัฒนาพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม และอนุรักษ์แหล่งต้นน้ำลำธาร สำหรับใช้เป็นแหล่งรวบรวมพัฒนาพืชสมุนไพร และเป็นแหล่งอาหารตามธรรมชาติ ให้ชุมชน อีกด้วย
ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าว ได้ขยายบทบาทเป็นศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีชุมชน โดยใช้เป็นสถานที่ฝึกอบรม และวิจัยพัฒนาการเกษตร ที่เหมาะสมกับพื้นที่ อาทิ การเพาะชำกล้าไม้โตเร็ว เพื่อแจกจ่ายให้ราษฎรนำไปปลูกป่า “ไม้ใช้สอย ไม้โตเร็ว” สำหรับใช้เป็นถ่านและฟืน ในการหุงต้มอาหาร ในชุมชนและครัวเรือน “ควบคู่” ไปกับการส่งเสริมให้ราษฎร ผลิตและใช้เชื้อเพลิงชีวมวล และวัสดุเชื้อเพลิงอื่น ๆ ทดแทนการใช้ฟืน อย่างมีประสิทธิภาพ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งนอกจากจะเป็นการช่วยลดปริมาณการใช้ไม้ฟืนจากป่าธรรมชาติแล้ว ยังส่งผลให้ราษฎรเกิดความรัก ความหวงแหน ทรัพยากรป่าไม้และเรียนรู้การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน อีกด้วย สอดคล้องกับ “ศาสตร์พระราชา” ในการให้ความสำคัญกับ “การปลูกป่าในใจคน” โดยการฟื้นฟูป่านั้น ต้องปลูกจิตสำนึกการรักผืนป่าในใจคนก่อนด้วย นะครับ
นอกจากพระราชกรณียกิจด้านการเกษตร ที่เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ชาวประมง ซึ่งเป็นอาชีพหลักของชนชาวไทยแล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ใหม่ ทรงให้ความสำคัญกับด้านการศึกษา นับแต่ในอดีต ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โดยทรงมีพระราชดำริ ให้ดำเนินการ “โครงการทุนการศึกษา” ด้วยพระราชปณิธานที่มุ่งสร้างความรู้ สร้างโอกาส แก่เยาวชนไทย โดยเฉพาะที่มีฐานะยากจน ลำบาก แต่ประพฤติดี มีความสามารถในการศึกษาให้ได้รับโอกาสทางการศึกษาที่มั่นคง ต่อเนื่องตามความสามารถของแต่ละคน เป็นการลงทุนเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถ และเพิ่มศักยภาพแก่เยาวชนไทย ได้เข้าถึงระบบการศึกษาที่มีมาตรฐาน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคม ในอนาคต
ต่อมา พระองค์ทรงมีพระราชดำริ ให้จัดตั้งเป็น “มูลนิธิทุนการศึกษาพระราชทาน สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร” ขึ้น อีกทั้ง ทรงมีพระราชดำริ ให้กำหนดหลักเกณฑ์การพระราชทานทุน และวิธีการคัดเลือก คัดสรร และกลั่นกรองนักเรียน ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อรับทุนการศึกษาพระราชทาน ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ต่อเนื่องไปจนจบการศึกษาในระดับปริญญาตรี ในสาขาวิชาที่สอดคล้องกับความรู้ ความสามารถ และความต้องการของผู้เรียน ที่สำคัญ ทรงให้ยึดหลัก ให้มีการกระจายทุน ครบในทุกจังหวัด และให้มีความเท่าเทียมระหว่างเพศ ของผู้รับพระราชทานทุนด้วย ปัจจุบันมีนักเรียนได้รับโอกาสทางการศึกษา อย่างต่อเนื่องกว่า 1,000 คนแล้ว
ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลนั้น ได้ให้ความสำคัญอย่างมาก กับการพัฒนา “ศักยภาพทรัพยากรมนุษย์” และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการปฏิรูปการศึกษา ที่รองรับการพัฒนาในศตวรรษที่ 21 ที่จะต้องมุ่งเน้นการการสร้างจิตนาการ การคิดวิเคราะห์ และการคิดเชิงสร้างสรรค์ โดยนโยบายสำคัญส่วนหนึ่ง ได้แก่ “การลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้”’ ซึ่งความหมายที่แท้จริงคือ การลดเวลาที่นักเรียนเรียนแบบ Passive คือ เป็นผู้รับอย่างเดียวลง แล้วเพิ่มเวลาที่นักเรียนเรียนแบบ Active ให้มากขึ้นคือ เป็นผู้ปฏิบัติเอง เรียนรู้เอง ให้มากยิ่งขึ้นซึ่งเกิดขึ้นได้ ทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน
ทั้งนี้ การจัดการเรียนรู้ต้องมุ่งให้นักเรียนได้รับความรู้ มีความเข้าใจ และจัดกิจกรรมให้นักเรียนสามารถนำความรู้นั้น ไปปรับใช้ได้ในสถานการณ์จริง ในชีวิตประจำวันและสามารถนำไปใช้ในการทำงาน การแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องได้ อีกด้วย
พี่น้องประชาชน ครับ
องค์การสหประชาชาติ ได้ประกาศให้วันที่ 3 ธันวาคม ของทุกปี เป็น “วันคนพิการสากล” ผมจึงขอนำเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของ นายช่วง โพธิรัญ อายุ 68 ปี ผู้บกพร่องทางสายตา ศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ ซึ่งตั้งขึ้นมาด้วยแนวพระราชดำริของ “ในหลวง” รัชกาลที่ 9 ทำให้ทุกวันนี้คนตาบอด ที่มีความพร้อม มีศักยภาพและความสามารถ ก็ได้รับโอกาสทางการศึกษา ไม่ต่างจากคนทั่วไป สามารถเข้าไปเรียนในสถาบันการศึกษาทั่วไป สามารถสอบชิงทุนไปเรียนสถาบันอุดมศึกษาต่างประเทศ จนขณะนี้ มีคนตาบอดเรียนจบปริญญาเอก เป็น “ด็อกเตอร์” แล้วหลายคน
นอกจากนี้ ทรงมีพระราชประสงค์ อยากให้ผู้พิการทางสายตาทุกคน ลุกขึ้นมาต่อสู้กับชีวิต ไม่ท้อถอยกับโชคชะตา พระองค์จึงทรงพระราชนิพนธ์บทเพลง “ยิ้มสู้” ขึ้นมาเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้ผู้พิการทุกคน ซึ่งปัจจุบัน เป็นเพลงที่ให้กำลังใจกับ “ทุกคน” ในประเทศไทย ให้มีความเพียรอันบริสุทธิ์ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค ทั้งนี้ บ่อยครั้งที่ พระองค์ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ไปพระราชทานเลี้ยงอาหารที่โรงเรียนสอนคนตาบอดฯ ช่วงปีใหม่ โดยนายรัชตะ มงคล อุปนายกสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนสอนคนตาบอดฯ เล่าว่า สมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ มาที่โรงเรียนฯ บ่อยมาก เพื่อทรงไปเยี่ยมเยียนนักเรียนผู้พิการทางสายตาหลายครั้งที่พระองค์โปรดที่จะเล่นกับเด็ก ๆ โดยไม่ให้บอกว่าพระองค์คือใคร แต่ทรงให้ขานพระนามย่อว่า “พล” อีกทั้ง ยังทรงเป็นพระอาจารย์สอนวิชาดนตรี ให้แก่ผู้พิการทางสายตาและทรงเป่าแซกโซโฟน พระราชทานแก่ทุกคน อีกด้วย
จะเห็นได้ว่า “ศาสตร์พระราชา” ให้ความสำคัญกับทุกเรื่อง ไม่ละเลยเรื่องเล็กๆ รวมทั้ง การแก้ปัญหา “ผักตบชวา” ที่ดูแล้ว หลายคนคิดว่าไม่เกี่ยวกับเขา จนกว่าจะได้รับผลกระทบ และความเดือดร้อนจากน้ำท่วมขัง ยิ่งกว่านั้น คนส่วนใหญ่มองผักตบชวาว่า “ไร้ค่า ไม่มีราคาค่างวดอะไร” แต่หากเรา รู้จักมองแล้ว ก็จะเห็นคุณค่า สามารถนำมาแปรรูป เกิดประโยชน์ งอกเงยเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น กระเป๋าสานด้วยมือ อาหารสัตว์ หรือปุ๋ยหมัก “แปลงสวะ วัชพืช ให้เป็นทุน ให้เป็นเงินเล็กๆ น้อยๆ เลี้ยงลูกเมียได้บ้าง ปัจจุบันผักตบชวา กว่า 6 ล้านตัน ทั่วประเทศ ทั้งในแหล่งน้ำปิด และแหล่งน้ำเปิด กำลังก่อให้เกิดปัญหา และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และระบบนิเวศมา มาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน เช่น ความหนาแน่นของจำนวนผักตบชวา ทำให้น้ำเน่าเสียเพราะขาดออกซิเจน ทำให้การไหลระบายของน้ำ เป็นไปได้ช้า และส่งผลเกิดปัญหาน้ำล้นตลิ่ง รวมทั้ง กีดขวางการขนส่งและการสัญจรทางน้ำ อีกด้วย
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทรงเคยมีกระแสพระราชดำรัส เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2532 อันมีใจความ ที่ทรงห่วงใยต่อพสกนิกรชาวไทย ในปัญหาของสิ่งแวดล้อม ที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศและสังคมโลก ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้นำเสนอคณะรัฐมนตรี และมีมติกำหนดให้วันที่ 4 ธันวาคม ของทุกปีเป็น “วันสิ่งแวดล้อมไทย” โดยในปีนี้ คณะกรรมการอำนวยการบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาผักตบชวา ที่รัฐบาลนี้ตั้งขึ้น มีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง จัดกิจกรรมรณรงค์ “จิตอาสาประชาร่วมใจแก้ไขปัญหาผักตบชวา” ให้เป็นกิจกรรมหลัก เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมไทย ในวันที่ 4 ธันวาคมนี้ พร้อมกันในทุกจังหวัด ทั่วประเทศ
ซึ่งยังได้กำหนดมาตรการในการกำจัดผักตบชวาไว้ 2 ขั้นตอน คือ 1. มาตรการในการกำจัด (เก็บใหญ่) กรอบเวลาดำเนินการ 6 เดือน (ตุลาคม 2559 – มีนาคม 2560) เป้าหมายคือ การกำจัดผักตบชวา ทั้ง 6 ล้านตัน ทั่วประเทศ 2. มาตรการในการป้องกัน (เก็บเล็ก) ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานท้องถิ่น อำเภอ และจังหวัด ตลอดจนประชาชนทุกคนได้ร่วมกันกำชับกวดขันเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจ และการจัดกิจกรรมรณรงค์แก้ไขปัญหา รวมทั้ง การสนับสนุนอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เรือพาย เรือท้องแบน โดยให้ดำเนินการต่อเนื่องทันที ภายหลังการกำจัดในแหล่งน้ำนั้นแล้วเสร็จอย่าให้เกิดขึ้นมาใหม่อีกเด็ดขาดหาที่เก็บ หารที่กรอง และหาวิธีการนำไปใช้ประโยชน์ด้วย
ผมขอให้พี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมภาคภูมิใจกับ “ข้าวหอมมะลิไทย” ที่ได้ชื่อว่า มีรสชาติดีที่สุดในโลก ครองอันดับ 1 ปี 2016 ในการประกวดข้าวระดับโลก ณ จ.เชียงใหม่ เมื่อ 18 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ด้วยเกณฑ์การตัดสิน 4 ด้านหลัก ได้แก่ กลิ่น รสชาติ ความเหนียวนุ่ม และรูปร่างลักษณะ โดยใช้วิธีตัดสินแบบ Blind testing คือ ไม่ให้กรรมการทราบว่าเป็นข้าวประเภทใดของประเทศไหน โดยคณะกรรมการตัดสิน เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหาร สมาคมบริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับการทำอาหารในสหรัฐฯ และพ่อครัวที่มีชื่อเสียงจากประเทศต่าง ๆ ร่วมเป็นกรรมการนับว่าเป็นกำลังใจให้กับชาวนาไทย และคนไทยทุกคน ที่ได้ทราบข่าวผมเห็นว่าการเป็นแชมป์นั้นไม่ง่ายนัก แต่การรักษาแชมป์นั้นยากกว่า ก็ขอให้พี่น้องเกษตรกร และผู้ที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันรักษาและปรับปรุงมาตรฐานข้าวหอมมะลิ เพื่อเพิ่มมูลค่าด้วยคุณภาพ ซึ่งมีความแตกต่างให้ได้ในอนาคต รวมทั้ง ข้าวพันธุ์ต่าง ๆ ของไทย ให้เป็นที่นิยม และมีคุณภาพดี เป็นเกษตรอินทรีย์ สำหรับคนไทย และผู้บริโภคทั่วโลกด้วย
อีกประการหนึ่ง ผมอยากทำความเข้าใจกับพ่อแม่พี่น้อง ประชาชนคนไทยว่า เราจะร่วมมือกันด้วยกลไก “ประชารัฐ” เพื่อสร้างความเข้มแข็งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันลดความเหลื่อมล้ำ และก้าวข้ามกับดักรายได้น้อย ปานกลาง กันได้อย่างไร กรุณาพิจารณาจาก Infographic ด้านล่างนี้ มีรายละเอียดเพิ่มเติม อีกด้วย สรุปได้ว่า 1. การใช้กลไกประชารัฐสนับสนุนการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มอาชีพต่าง ๆ รวมทั้งเกษตรแปลงใหญ่โดยให้ความสำคัญในการสร้างแบรนด์ และการกำหนดมาตรฐาน ที่เป็นสากล 2. สร้างห่วงโซ่คุณค่า ทั้งอุปสงค์และอุปทาน ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจฐานราก ให้ครบวงจร ทั้งต้นทาง – กลางทาง – ปลายทาง 3. สร้างห่วงโซ่ใหม่ โดยเชื่อมต่อระหว่าง 5 S-Curve เดิม กับ 5 New S-Curve ใหม่ เพื่อนำไปสู่ Thailand 4.0 ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ รวมทั้งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ทั้งนี้ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ของเราเอง มุ่งสู่การผลิตเชิงอุตสาหกรรม 4. ขับเคลื่อนด้วยระบบเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อลดอุปสรรคทางการค้าและอำนวยความสะดวก ให้มากที่สุด และเป็นสากล
ทั้งนี้ จากผลการดำเนินการของรัฐบาล ในช่วงปี 2557 – 2559 ภายใต้วิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” มีความคืบหน้าอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้ 1. มีคำขอรับการส่งเสริมการลงทุน กว่า 5,000 โครงการ มูลค่าลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท 2. โครงการที่ขอรับการส่งเสริม คิดเป็นร้อยละ 54 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ตามนโยบายของรัฐบาล รวมทั้ง การลงทุนด้านดิจิทัล ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญ 3. การส่งเสริมการรวมกลุ่มจังหวัด เป็นคลัสเตอร์ โดยคณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ช่วยให้สามารถค้นหา “อัตลักษณ์” ในแต่ละพื้นที่และภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วประเทศ และตลอดจนเสนอแนะแนวทางการส่งเสริม ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
ช่วงนี้ เข้าฤดูหนาวแล้ว อากาศเปลี่ยนแปลงรัฐบาลมีความห่วงใย ผมอยากให้พี่น้องประชาชน ในทุกภาคของประเทศ ได้ดูแลสุขภาพตนเอง และลูกหลาน รักษาร่างกายให้อบอุ่นหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชน ก็ขอให้เข้าไปให้ความช่วยเหลือ บรรยายความเดือดร้อนจากภัยหนาว ตามแผนงานที่ได้ตระเตรียมไว้ โดยให้กระจายกันดำเนินการ อย่าได้ซ้ำซ้อนพื้นที่และประชาชน ให้มีการบูรณาการกันอย่างใกล้ชิด สิ่งสำคัญในการรักษาสุขภาพคือ การออกกำลังกายที่สม่ำเสมอ นอกจากจะทำให้ร่างกายแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ลดค่าใช้จ่ายของครอบครัว ในการรักษาพยาบาลแล้วยังช่วยให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมี สมองที่ปลอดโปร่ง ดังคำกล่าวที่ว่า “จิตใจที่แจ่มใส อยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์” และเมื่อประชาชนทุกคนแข็งแรง ทั้งร่างกายและจิตใจประเทศชาติก็จะเข้มแข็งในที่สุด ขอให้มีความสุขในวันหยุดสุดสัปดาห์
ขอบคุณครับ / สวัสดีครับ
ที่มา : www.thaigov.go.th